sakkapoom.blogspot.com

.......................................................
ผ่านทาง... สร้างประสบการณ์ ให้ชีวิต
ผ่านชีวิต... สร้างจิตสำนึก ต่อสังคม
ผ่านสังคม... มอบสิ่งดีงาม เอาไว้ให้
ผ่านไป... ชีวิตวางทางไว้เบื้องหลัง จะมีสักกี่ครั้งที่จะได้หันกลับไปมอง.


31 กรกฎาคม, 2550

เม็ดกรวด...ในสายน้ำ

ชุด เพียงเป็น เห็นพอ


เม็ดกรวด...ในสายน้ำ




" มิใช่การกระหน่ำ...ด้วยแรงฆ้อน
หากแต่เป็น การเริงเล่นเต้นร่าของ กระแสน้ำ...
ที่กลึงให้ เม็ดกรวด มีสัณฐานกลมเกลี้ยง...เช่นนี้ ”

รพินทรนาถ ฐากูร

ผู้เป็นทั้ง ครู, กวี, คีตกร, จิตกร และ นักสังคมสงเคราะห์
(ท่านเป็นชาวอินเดีย แลเป็นชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล)

...เมื่อคุณได้อ่านบทกวีสั้น ๆ บทนี้จบลงแล้ว ผมอยากให้คุณลองหลับตา นึกถึงอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับบทกวีของท่านรพินทรนาถ อะไรก็ได้ที่ผุดขึ้นมาในความรู้สึก ภาพ หรืออารมณ์ ประกายความคิดแรก เก็บสิ่งนั้นเอาไว้ในใจของคุณ ก่อนที่คุณจะได้มองบทกวีนี้จากมุมของผมต่อไป...
หากอ่านแล้ว อาจไม่ตรงใจ หรือไปคนละแนวทาง ก็คงไม่ใช่ปัญหาที่ต้องมาถก เพราะนั่นเป็นเพียง ผล อันสุกปลั่งจากการบ่มเพาะ จากวัน วัย ประสบการณ์ ความรู้ ความคิด การตัดสินใจ มุมมองที่เหมือนหรือต่างกัน ทั้งหมดเกิดจากจิตวิเคราะห์ ตีความ ของปัจเจกชนคนสามัญคนหนึ่ง ไม่มีใครถูกหรือผิดที่สุด ไม่มีกฏหรือบทบัญญัติที่ตายตัว สิ่งที่คิดขึ้นขอให้วนเวียนอยู่ภายในจิตใจ...
ภาพที่เสพ อารมณ์ที่ดื่มได้ เป็นอิสระภาพทางความคิดของคุณเองทั้งสิ้น...
.................................................................



เมื่อแรกที่ผมได้อ่าน กวีบทนี้ เวลานั้นผมเพิ่งอายุ ๑๖ ปี จิตนาการพาคิดฝันไปถึง...
ธารน้ำใสเย็นในเขตป่าเขา ต้นทางน้ำจากภูสูงทอดตัวลงสู่แอ่งหิน กัดเซาะจนเกิดทางน้ำสายหนึ่ง ไหลเรื่อย ล่องลงสู่หุบห้วยเบื้องล่าง นำพากรวดหินผิวขรุขระ ซัดหนุนมันมาพร้อมกับการเริงร่าของกระแสน้ำ การเคลื่อนที่ของเม็ดกรวด กระทบกระแทกกับหินน้อยใหญ่ในแก่งตลอดสายทาง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มันถูกลูบคมลบเหลี่ยม หินเหล่านั้นกลิ้งตัวมาตามแรงส่งของพลังน้ำ แล้วจึงวางตัวสงบนิ่ง ณ ที่ใดที่หนึ่งในธารสายชื่น ผ่านวันผ่านคืน ผ่านการอาบไหล ไล้ชุ่มเย็น นุ่มนวลสม่ำเสมอ การเดินทางของเม็ดกรวดเม็ดหนึ่ง จบลงท่ามกลางธรรมชาติในป่าเขา ผิวที่เคยขรุขระ บัดนี้สายน้ำผู้อ่อนโยนได้ปลอบประโลมจนกลมมนขาวนวล เหมือนหินก้อนอื่น ๆ ที่ผ่านระยะทางมาก่อนมัน นานแล้ว...

ภาพความงามในธรรมชาตินั้นติดอยู่ในใจ ซึมซับอยู่นานนับสิบปี ผมดื่มด่ำอยู่กับบทกวีที่รจนาผ่านปลายปากกาของท่านรพินทรนาถ อีกหลายเล่ม ครั้นเมื่อเข้าสู่วัยทำงาน ประสบการณ์ต่าง ๆ จากการเป็นผู้ถูกจ้าง และผู้จ้าง สถานภาพทั้งนายและบ่าว ทำให้ผมย้อนกลับไปมองภาพหินกลิ้งนั้นอีกครั้ง ด้วยสายตาใหม่ ความรู้สึกใหม่ ไม่มีความงามสงบในธรรมชาติ ไม่มีขุนเขาลำนำไพร สายน้ำ กรวดหิน เปลี่ยนรูป แปลงสถาพ ปรับมุมมองจากสายตาชายหนุ่มวัยทำงาน

เสี้ยวหนึ่ง... เม็ดกรวดอย่างผมในฐานะ ผู้ถูกจ้าง... ผู้จ้างบางคนเป็นสายน้ำ คอยบอกและสอนในสิ่งที่ผมต้องเรียนรู้ ทั้งเรื่องในสายงาน, การดำเนินชีวิต สายน้ำแห่งความการุณนั้น ปรับแต่งด้านคม ขรุขระของผมอย่างช้า ๆ ให้ความกระจ่างความเมตตาต่อผู้อ่อนประสบการณ์ ผมยอมรับเขาในฐานะ “ ครู ” ด้วยความเต็มใจทั้งภูมิใจ จนเมื่อผมกลิ้งมาจนสุดแรงส่งของกระแสน้ำ สายนั้น...




บางจังหวะของชีวิต ผมถูกกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยแรงฆ้อน จากคนที่เรียกตัวเองว่า นาย แต่...หินอย่างผมก็ไม่ได้รูป ถูกกัดกร่อนจากความคับแคบ เอาเปรียบเหยียดหยาม วันแล้ววันเล่า ซ้ำร้ายรอยขรุขระนั้นกลับบาดคมลึกลงไปในมือผู้ถือ สุดท้ายแล้วหินนั้นก็ต้องแตกละเอียดลงไปพร้อมกับการออกงาน...
แล้วเม็ดกรวดก้อนน้อยก็กลิ้งตัวสู่ธารน้ำสายใหม่ ถึงเวลาต้องไปให้ไกลจากแม่น้ำสายนั้น เพื่อพิสูจน์ตนเอง...

แล้วจากการรับรู้ที่ผ่านมาทำให้ผม ในฐานะผู้เป็นสายน้ำ เริ่มหันไปมองโลกของเม็ดกรวดหินกลิ้งในปกครองของผม ด้วยสายตาของคนที่เคยผ่านทางเส้นนั้นมา ผมใช้ระยะเวลา ใช้ความอดทน ให้โอกาสและให้อภัย บอกเล่าประสบการณ์โดยไม่สั่งสอน ทำให้เห็นจริงก่อนจึงชี้ช่อง ผมพยายามจะเป็นทางน้ำเย็นชุ่ม นำพาเม็ดกรวดในสายธารของผม ค่อย ๆ ลบเหลี่ยมมุมปุ่มคมขรุขระจากหินนั้น วันแล้ววันเล่าอย่างช้า ๆ อาจจะช้าเกินไปกับใครบางคน แต่...สำหรับผม ผมรู้ว่ามันไม่เคยสาย ที่จะเปลี่ยนใครให้เข้าถึงอะไรบางอย่าง ด้วยหัวใจของตัวเขาเอง...

ผ่านปีที่ ๑๖ มาเกือบครบสามรอบแล้ว เมื่อย้อนมองกลับไป ถึงวัยเด็ก ความงดงามในบทกวียังมีอยู่ ผมยังซึมซับภาพ ฟ้าสีครามอมส้ม ขุนเขาเย็นชุ่มฉ่ำฝน ผมยังเห็น เม็ดกรวดน้อย ๆ เริงร่าในสายธารน้ำใส ผมรับความสุขนั้นได้ในทุกบาทบรรทัด และทั้งบทเรียนจากวัยหนุ่มฉกรรจ์ แรงฆ้อนที่กระหน่ำโบยตี ความหวังดีที่ทุกคนมีให้ ความรู้ความดีที่ ครู พร่ำบอก ตลอดทางผ่านของเม็ดกรวดน้อยในหัวใจ บัดนี้กลมเกลี้ยงใสกว่าแต่ก่อนมาก... มันอาจวัดค่าไม่ได้ว่าเท่าใด แต่ภายในจิตใจของผมรู้อยู่เพียงคนเดียวเงียบ ๆ ว่า มันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากแล้ว อาจไม่มากกว่าที่ใครจะคาดหวัง แต่ก็ไม่น้อยไปกว่าที่ใจได้รับรู้



สำหรับวันนี้... ไม่มีใครอื่น นอกจากตัวเอง มีเราเพียงคนเดียวที่จะต้องได้รับการขัดเกลาเป็นหินหนักหยาบในสายธารแห่งพุทธะพจน์อันสงบ กระแสธรรมชุ่มเย็นนุ่มนวลช่วยกัดกร่อนบางส่วนของความทะยานอยากได้ใคร่มีที่เกินเลยออกไป ท่ามกลางสังคมเมือง - ป่าอารยะธรรม ศีลบัญญัติเปรียบเสมือนหินน้อยใหญ่ในแก่งเกาะ คอยรับแรงกระแทก กระทบลบเหลี่ยมคมหินกลิ้ง กระเทาะกิเลสหยาบ, ละเอียดบางตัวให้หลุดร่วงออกไป ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เม็ดกรวดในสายน้ำอย่างผม ยังไม่กลมเกลี้ยงได้ที่ อย่างที่ใจนึกหวัง วันแล้ววันเล่า ผมหวังว่า คงจะยังมีเวลาในชีวิตเหลือพอ ที่จะได้
ตั้งสติ กลิ้งต่อไป...

จะอีกนานเท่าไร ก็ไม่รู้ แต่สำหรับหัวใจแล้ว ไม่เคยท้อ...



ศักย์ภูมิ
๖-๓-๕๐





.........................................................

โอบกอด...

นิตยสาร FINANCIAL FREEDOM 
(คิดต่าง ทางเดียวกัน)
ฉบับที่ ๖ มีนาคม 2007




        เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อน...

        บินมาเกาะคอน
        แล้วด่วนจากไป...
       ดึกแล้ว เดือนลับ
       แม่...ยังไม่หลับตาได้
       คิดถึงแต่เจ้าดวงใจ
       อยู่หนใดหนอ...
       เจ้านกขมิ้น...เอย






บทกวีชิ้นเล็ก ๆ นี้ถูกแต่งขึ้นเพื่อทดแทนความรู้สึกสะเทือนใจ ในช่วงเวลาหนึ่ง ครั้งหนึ่งของชีวิต... ถ้อยคำสั้น ๆ เหล่านี้เป็นเสมือนตัวแทนความรัก ห่วงหาอาทรของพ่อแม่ที่มีต่อทารกน้อย ลูกซึ่งพรากจากพวกเขาไป...

ต้นเดือนธันวาคม ปี ๒๕๓๙ ผมพาภรรยาไปพบสูตินารีแพทย์ที่ฝากครรภ์ไว้ ลูกชายคนแรกของพวกเรา ด้วยวัยในครรภ์เจ็ดเดือนแล้ว เจ้าตัวเล็กจึงดิ้นเก่งมากในท้องของแม่ บางครั้งจะใช้เท้าน้อย ๆ ถีบไปมาจนผู้เป็นแม่เสียวเจ็บสันหลัง พวกเราไปพบอาจารย์หมอตามกำหนดนัด ทำอัลทราซาวด์ เจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของสมอง ทำตามที่อาจารย์หมอบอกทุกอย่าง ก็อย่างที่คนเป็นพ่อเป็นแม่พึงจะใส่ใจกับสุขภาพของลูกน้อยได้...

“เด็กสมบูรณ์แข็งแรงดีมากครับ”

อาจารย์หมอยืนยันหนักแน่นภายหลังจากที่ได้ตรวจสอบตามขั้นตอนอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว และกำหนดวันนัดในครั้งถัดไป... กิจการของผม เป็นร้านขายของชำขนาดกลางที่เริ่มจะก่อร่างสร้างตัว มีพนักงานอยู่ ๔ คน คอยจัดเรียงสินค้าประจำหน้าร้าน โดยปกติงานจะยุ่งมากในช่วงก่อนเงินเดือนออก เรื่อยไปอีกสักอาทิตย์และยิ่งใกล้สิ้นปีอย่างนี้ การส่งสินค้าเข้าร้าน การตรวจเช็ค การจัดเก็บจัดเรียง จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างยิ่งเพื่อให้ทันกับความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาเลือกซื้อหาสินค้า โดยเฉพาะเขตที่มีการแข่งขันทางการค้าสูงอย่างที่นี้...

ก่อนสิ้นปีไม่กี่วัน พนักงานคนหนึ่งในร้าน มีเหตุให้ต้องขอลากลับบ้านด้วยกิจธุระเร่งด่วน ซึ่งส่งผลให้ผมต้องลงไปขลุกอยู่กับงานจัดเรียงมากขึ้น ภาระบางส่วนจึงต้องให้ภรรยาเป็นคนช่วยดูแลแทนและวันปีใหม่ก็ผ่านพ้นไปพร้อมกับความเหนื่อยยากของพวกเรา แต่ก็คุ้มค่ากับแรงที่ลงไปมาก

เมื่อผ่านพ้นต้นปีไปแล้ว พนักงานในร้านก็กลับไปเยี่ยมบ้านด้วย หลังจากที่ผมหยุดกิจการช่วงปีใหม่ได้สองวัน ผมก็เปิดกิจการซึ่งก็เป็นไปตามปกติ แต่...ที่ผิดคาดคือในปีนี้โรงงานของชาวไต้หวันหยุดงานเพียงสามวัน โดยยกยอดไปหยุดวันตรุษจีนซี่งในปีนี้มาจะมาถึงในเร็วกว่าทุกปี ในขณะที่โรงงานทั่วไปจะหยุดกันตั้งแต่ตรุษฝรั่ง ปีใหม่ เรื่อยไปเป็นเวลา ๑๕ วัน

เราสองคนทำงานอย่างไม่รู้พอ กับลูกค้าที่อยู่ตรงหน้า สินค้าหน้าร้านหมดลงอย่างรวดเร็ว ผมต้องใช้เวลาช่วงกลางคืนหลังปิดร้านขนสินค้าลงมาจากชั้น ๒ ของตึกเพื่อจัดเรียงให้เต็มหน้าร้านจนถึงสว่างทุกวัน ด้วยความอ่อนเพลียทำให้กับสินค้าบางอย่างผมก็ไม่ได้ใส่ใจจะไปรื้อค้นเพราะมีน้ำหนักมาก อย่างพวกซีอิ้ว, น้ำปลา,น้ำตาลทราย ไว้ตื่นตอนเที่ยง ๆ แล้วค่อยมาดูกันอีกที ภรรยาของผมเธอจะลงมาเปิดร้านในตอนเช้าและขายหน้าร้านจนกว่าผมจะตื่น เป็นอย่างนี้อยู่สักอาทิตย์กว่าที่พนักงานจะกลับเข้าทำงานตามปกติและก็จะยุ่งไปอีกหลายวันเพราะพนักงานจากโรงงานต่าง ๆ ได้ทยอยกับกลับมาเข้างานเช่นกัน


คืนหนึ่งภรรยาผมก็บ่นออกมาว่า “วันนี้ลูกไม่ดิ้นเลยทั้งวัน” ผมฟังแล้วก็บอกกับเธอว่า “เธอคงยุ่งทั้งวันคงไม่ได้สังเกตเอง หรือลูกอาจจะหลับไปแล้วก็ได้ ไว้พรุ่งนี้ลองดูใหม่นะ”แล้วผมก็รีบหลับไปเพื่อที่จะได้ตื่นขึ้นมาพบกับงานหนักในวันรุ่งขึ้น... ปกติผมจะเอื้อมมือไปแตะที่ท้องพอง ๆ กลม ๆ ของภรรยาผม ลูบไล้ด้วยความถนุถนอมบางครั้งก็มักจะเขย่าท้องนั้นเบา ๆ เจ้าหนูในนั้นก็จะขยับตัวตอบรับ บ่อยครั้งที่ผมจะสังเกตเห็นรอยนูน ๆ เล็ก ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนช้า ๆ ผ่านฝ่ามือผม ทำให้พวกเรารู้สึกถึงสัมผัสของลูกได้

แต่นี้วันที่ ๒ แล้วที่เจ้าตัวเล็กยังนอนนิ่งอยู่ ทั้งพวกเราก็มีงานมากจนลืมเรื่องนี้ไปทั้งวัน คนที่ร้อนใจที่สุดก็คงเป็นแม่ของเด็ก เธอรบเร้าว่าคืนนี้ก็ต้องไปให้หมอตรวจให้ได้ เธอรู้สึกไม่สบายใจเลย หลังปิดร้านแล้วผมขับรถพาเธอไปโรงพยาบาลในคืนนั้น พยาบาลเวรได้พยายามติดต่ออาจารย์หมอ ระหว่างนั้นภรรยาผมถูกจัดให้รอคุณหมออีกท่านในห้องตรวจของตึกชั้น ๓ ที่มีบรรยากาศ หดหู่ ทางเดินที่ทอดตัวออกไปสู่ห้องมากมายมีแสงสลัวและเงียบสงัด อากาศเย็นยะเยือก ผมได้แต่กุมมือเย็น ๆ ของภรรยาไว้ ปากได้แต่บอก “ไม่เป็นไร ๆ” ทั้งที่ใจผมรู้ดีว่าผมกลัวที่จะได้รู้ในสิ่งที่จะเกิดขึ้น...

ผลจากการอัลทราซาวด์ แล้วคลื่นเสียงความถี่สูงก็สะท้อนกลับ มันแสดงภาพทารกน้อยในครรภ์ที่นิ่งสนิท

“เด็กเสียชีวิตไปได้ 2 วันแล้ว ผมไม่ยืนยันสาเหตุ ต้องรออาจารย์หมอตรวจสอบอีกครั้ง”
คุณหมอที่มาดูแลแทนบอกพวกเราด้วยสีหน้าธรรมดา

“แล้วจะทำยังไงละครับ” ผมถาม

“ก็คงไม่ต้องทำอะไรครับ เด็กจะคลอดออกมาเองในสักอาทิตย์”

เมื่อได้ยินคำตอบ ผมงุนงงฟังแล้วรู้สึกว่านั่นยังไม่ใช่คำตอบ ภรรยาของผมเธอนอนน้ำตาไหลนิ่ง ๆ ไม่มีแม้เสียงสะอื้นไห้ ผมเข้าใจเธอเพราะผมก็รู้สึก... เป็นความรู้สึกเจ็บลึกลงไปถึงกลางใจพ่อแม่มือใหม่อย่างพวกเรา

เมื่อได้พบอาจารย์หมอ คำตอบที่ได้คือ “เด็กดิ้นเก่งเกินไป สายรกไปพันเข้าที่คอ ทำให้เด็กเสียชีวิต” โถ ลูกพ่ออีกเพียงสองเดือนเท่านั้นก็จะถึงกำหนดคลอดแล้ว ผมนึกย้อนกลับไปพบว่า ระหว่างที่ผมยุ่งอยู่กับงานตลอดบ่ายนั้น ภรรยาผมเธอจะจัดเรียงสินค้าก่อนในส่วนที่ผมไม่ได้ทำ โดยเธอขึ้นลงบันไดวันละหลาย ๆ เที่ยวกับตะกร้าใบหนึ่งเพื่อผ่อนปรนงานจากผม มันเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ พวกเราเลือกที่จะได้บางสิ่ง แต่กลับต้องแลกกับสิ่งที่มีค่าสูงที่สุด ทั้งไม่มีอะไรที่จะมาทดแทนได้ วันนั้นเราเลือกผิด... ผมเสียใจ...

การที่ได้รู้ว่า เจ้าตัวเล็กเสียชีวิตแล้ว เป็นความทุกข์โศกที่ผ่านพ้นได้ยากจริงยิ่ง จนผมไม่ต้องการให้คุณคิด เพราะที่ทุกข์นั้น มันมากเกินพอแล้ว แต่...นั่นยังไม่ทุกข์ทรมานใจเท่ากับการที่ต้องอยู่กับ ศพลูก ในสภาพที่ยังอยู่ในท้องแม่อย่างนั้นต่อไปอีก... ช่างเป็นเจ็ดวันสุดท้ายที่ยาวนานและยากจะลืมเลือน เป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยายจริง ๆ .....

อีกหลายวัน กว่าที่กำหนดการคลอดจะมาถึง... ยามดึกสงัด... ภรรยาของผมเธอยังไม่หลับ ได้แต่นอนน้ำตาเอ่อลงเปื้อนหมอน เวลานั้นผมทำได้เพียงส่งผ่านความรักไปที่เธอ โดยไม่มีคำปลอบโยนใด ๆ ผมกอดเธอ วางมือแนบท้องเย็นชืดนั้นเหมือนที่เคยวางเมื่อลูกยัง... ลูบไล้เพียงแผ่วเบา... เศร้าและนิ่งเงียบ...ไร้สัญญาณใด ๆ ตอบกลับ ร่างเล็ก ๆ ที่ยังนอนอยู่ในท้องนั้น บัดนี้ไม่หายใจ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเคลื่อนไหว เหมือนที่เคยไหว... ยามนี้ลูกของเรา เจ้าหลับไหลไปตลอดกาล...

ผมกระซิบแผ่วเบา......

“ พ่อและแม่จะรักเจ้า..

เราสองคนจะโอบกอดหนูไปตลอดคืน... ”

“ หลับฝันดีนะลูกรัก... ”

“ ฝันดีจ๊ะ... ”


.........................

แหลม ศักย์ภูมิ
๔ กันยายน ๒๕๔๙

30 กรกฎาคม, 2550

"หุบเขาลุงโง่"

นิตยสาร FINANCIAL freedom ...
(คิดต่าง ทางเดียวกัน) เผยแพร่ในเว็บ




...ครั้งหนึ่ง ขณะที่กษัตริย์หวนกงแห่งรัฐฉี (สมัยชุนชิว ขึ้นเสวยราชย์เมื่อ ๖๘๕ – ๖๔๓ ปีก่อน ค.ศ.) ทรงเสด็จออกล่าสัตว์ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นกวางตัวหนึ่งหนีออกจากวงล้อมวิ่งเตลิดเข้าไปในเขตป่าเขา กษัตริย์หวนกงจึงกระตุ้นม้าให้วิ่งตามเข้าไปยังหุบเขาที่สลับซับซ้อน

แต่ก็หากวางตัวนั้นไม่เจอ กษัตริย์หวนกงจึงทรงควบม้ากลับ แต่แล้วก็หาทางกลับไม่ได้ ขณะที่พระองค์กำลังทรงร้อนพระทัยอยู่นั้น ก็ทอดพระเนตรเห็นชายชราผมสีขาวโพลนผู้หนึ่งแบกฟืนเดินผ่านทางมา

“ นี่ พ่อเฒ่า ” กษัตริย์หวนกงตรัสถาม “ หุบเขานี้ชื่อหุบเขาอะไรหรือ ? ”

“ ชื่อหุบเขาลุงโง่ ” ชายชราตอบออกไป

“ เหตุใดจึงมีชื่อว่าหุบเขาลุงโง่ล่ะ ? ” พระองค์ทรงสงสัย

“ เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนที่อยู่ที่นี่มาตลอด ตั้งแต่เด็กจนแก่ เขาจึงได้ชื่อของข้าพเจ้ามาเรียกหุบเขาแห่งนี้ ”

กษัตริย์หวนกงทรงรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลก พระองค์ทอดพระเนตรดูชายชราผู้นั้น ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วทรงตรัสว่า

“ ดูท่าทางท่านก็เป็นคนเฉลียวฉลาด ทำไมจึงได้ชื่อว่า ลุงโง่ล่ะ? ”

ชายชราตอบว่า “ สาเหตุของมันเป็นเช่นนี้ คือแม่วัวที่ข้าพเจ้าเลี้ยงไว้ ออกลูกมาตัวหนึ่ง ข้าพเจ้าเลี้ยงลูกวัวตัวนี้จนโตเป็นวัวหนุ่ม แล้วจึงนำไปขายในตลาดและซื้อลูกม้าตัวหนึ่งนำกลับบ้าน ไม่นานเด็กหนุ่มอันธพาลในหมู่บ้านก็เข้ามาที่บ้านข้าพเจ้าแล้วพูดว่า....

“ บ้านแกเลี้ยงแม่วัว ทำไมจึงออกลูกเป็นม้าได้ ? แกคงไปขโมยม้าของคนอื่นมาแน่ ๆ ”

พูดแล้วมันก็จูงเอาลูกม้าของข้าพเจ้าไปดื้อ ๆ เมื่อเพื่อนบ้านทราบเรื่องนี้เข้า ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ข้าพเจ้าเป็นคนโง่และได้ตั้งชื่อให้ว่า “ ลุงโง่ ”

“ อ้อ เรื่องเป็นเช่นนี้เอง ” กษัตริย์หวนกงตรัสพร้อมกับทรงพระสรวล

“ เรื่องนี้เป็นเรื่องโง่จริง ๆ เพราะไม่มีใครหรอกที่จะปล่อยให้คนอื่นมาจูงเอาม้าของตนไปอย่างง่าย ๆ เช่นนี้ ”

ชายชราไม่พูดอะไร บอกทางที่จะไปให้แก่กษัตริย์หวนกงแล้วก็แบกฟืนเดินจากไป

เมื่อกษัตริย์หวนกงเสด็จกลับถึงวังแล้ว วันรุ่งขึ้นพระองค์นำเรื่องที่ทรงรู้สึกว่าขบขันนี้เล่าให้ก่วนจ้ง (นักการเมืองผู้มีชื่อเสียง)ฟัง

ก่วนจ้งฟังแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปในทันทีและรีบคุกเข่าลง กษัตริย์หวนกงจึงตรัสถามถึงสาเหตุ ก่วนจ้งทูลด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเสียใจว่า

“ ชายชราผู้นั้นหาใช่คนโง่ไม่ พวกเราที่ทำหน้าที่ปกครองนี่แหละเป็น คนโง่ ! ถ้าหากเบื้องบนมีผู้ประเสริฐ กฏหมายก็เคร่งครัดแล้ว จะเกิดเรื่องแย่งลูกม้าของคนอื่นไปง่าย ๆ ได้อย่างไร ถ้าเกิดขึ้น ชายชราก็ย่อมจะไม่ยอมอย่างเด็ดขาด...
แต่เวลานี้ชายชรารู้ดีว่า ขุนนาง ข้าราชการล้วนชอบกินสินบน บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป ถึงไปฟ้องร้องได้ก็ไม่เกิดประโยชน์ ฉะนั้นปล่อยให้เด็กหนุ่มอันธพาลจูงเอาม้าไปย่อมเป็นการดีกว่า ขอพระองค์ได้โปรดพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและการปกครองเถิดพะย่ะค่ะ ”


บันทึกใน “ ซ่อย่วน ” (ปรัชญาชีวิตในสุภาษิตจีน / แปลโดย ก.กุนนที ปี ๒๕๓๐)



ลองเทียบนิทานเรื่องนี้กับเหตุการณ์การดำเนินชีวิตในปัจจุบัน... เรามี ลุงโง่ หรือไม่ ?
คำตอบคือ มี และไม่มี กับเรื่องราวทำนองนี้ สำหรับบางคนก็สู้ยิบตา ยอมไม่ได้กับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น เช่น ในเหตุการณ์ที่มิจฉาชีพสองคนฉกกระเป๋าหนังลูกแกะราคาแพงลิบของหญิงสาว เรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แล้วแฟนหนุ่มของเธอซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ก็บึ่งรถยนต์คันหรู ไล่ชนคนร้าย ผลที่ได้คือหนึ่งในสองมิจฉาชีพตาย รถราคาแพงคันนั้น เกิดประสบอุบัติเหตุไฟลุกท่วม...
ชายหนุ่มเจ้าของรถคันนั้นรอด และได้กระเป๋าคืนให้หญิงสาวคนรัก เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาเทียบค่า ราคาของกระเป๋า กับ รถยนต์ หรือ แม้กระทั้งราคาค่าชีวิตของคนที่ตายไป

แล้วกับหลาย ๆ เหตุการณ์ ผู้ถูกล่วงละเมิดหลายคนก็ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม โดยไม่ปริปาก การกรรโชกทรัพย์ ข่มขู่ ข่มขืน ความอับอาย กลัวเกิดเรื่อง หรือจำยอม ๆ มันไปพวกมันใหญ่โตคับเมือง พวกนี้ไม่มีค่าที่จะแลก และก็ยังมีให้เห็นเป็นข่าวอยู่ในสังคมไทยอีกมาก

ถ้าให้คุณเลือกว่าระหว่างการรอพึ่งกฏหมายบ้านเมือง กับการลุกขึ้นมาปกป้องทรัพย์สิน, ศักดิ์ศรีหรือ
ชีวิตของตนเอง อย่างใดที่ควรทำก่อน...

 

ด้วยเหตุนี้ คนอย่าง ก่วนจ้ง จึงเป็นคำตอบที่ควรมองหา ข้าแผ่นดินที่มีสำนึกรับผิดชอบแม้ในเหตุการณ์เพียงเล็กน้อยในสายตาผู้ปกครอง เขาก็ยังใช้ปัญญาพินิจ วิเคราะห์ อย่างละเอียดครอบคลุม มองเห็นปัญหาในระดับจุลภาค ที่ชี้ให้เห็นถึงจุดบกพร่องของผู้มีอำนาจหน้าที่และระบบกฎหมายการปกครองระดับประเทศ เขากล้าพูดกล้าเสนอแนะและที่สำคัญเขายังกล้าที่จะวิพากย์วิจารย์การทำงานของตนเอง ผู้มีปัญญากล้าหาญเช่นนี้แหละที่ทุกประเทศ ทุกระบบการปกครองย่อมต้องการ

เราทุกคนคงคาดหวังกันว่า... หากบ้านเมืองของเรามี เสนาบดี ข้าราชการ และนักการเมืองดีดีอย่าง ก่วนจ้ง ที่คอยคำนึงถึงสุขทุกข์ของประชาราษฏร์ ทำงานอย่างเต็มกำลัง (อย่างจริงจังและจริงใจ) เคร่งครัดในตัวบทกฏหมายบ้านเมือง (ทั้งต่อหน้าและลับหลัง) เห็นประโยชน์มวลรวมของชาติเป็นใหญ่ (มากกว่าประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องพงษ์ญาติหว่านเครือ ฯลฯ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ) กันทุกวงการหน่วยงานต่าง ๆ หากเป็นได้เช่นนี้ ท่านเจ้านายผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ดีเหล่านั้นก็คงจะทำให้เรื่องของ ลุงโง่ ไม่เกิดขึ้นในแผ่นดินไทย เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในแผ่นดินจีนยุคโบร่ำโบราณนานตะเกนู้นนนนนนอีกต่อไป

เราต่างก็ต้องการ ก่วนจ้ง สักหลายคน...อยู่ร่ำไป คาดหวังจะได้เห็นคนเช่นนี้ที่ทำประโยชน์ให้ส่วนรวม คาดหวังจะได้พึ่งพิง ได้รับการคุ้มครองและความมั่นคง ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วพวกเราทุก ๆ คนต่างหากเล่าที่จะต้องลุกขึ้นมาทำอย่าง ก่วนจ้ง ด้วยการสำนึกรับผิดชอบต่อหน้าที่พลเมืองต่อการงานในส่วนเฉพาะตน แล้วจึงขยายไปสู่สังคมต่อไป ต่อต่อไป.

แหลม ศักย์ภูมิ
๑๕ ก.ค. ๕๐


..............................................................

อรหันต์ สอนธรรม


...ครองเพศ " บรรพชิต " นั้นแสนยาก

" ฆารวาส " วิสัยก็ลำบากเช่นกัน

" พระธรรม " อันคัมภีรภาพ ยากเข้าใจ

" โภคทรัพย์ " กว่าจะหามาได้ก็เหน็ดเหนื่อย

มีชีวิตไปเรื่อย ๆ อย่างสันโดษก็ยากเย็น

ฉะนี้ น่าจะเห็น น่าจะคิด " อนิจจัง "...

พระเชตเถระ
อรหันต์ครั้งพุทธกาล


.......................................

หลับตลอดราตรี...

คลุกคลีกับหมู่คนทั้งวัน...

คนโง่เขลา... เช่นนั้น

ไหนเลยจะพ้นทุกข์ เล่า...

พระนีตเถระ
อรหันต์ครั้งพุทธกาล

โยคะ ไทฉิ สติปัฏฐาน



โยคะ - เป็นตัวแทนของ การบริหารร่างกาย เนิบช้า พร้อมกำหนดลมหายใจ

ไทฉิ - เป็นตัวแทนของ การเคลื่อนไหวบริหารกาย ในแนววิชาต่อสู้ป้องกันตัว
ที่ลุ่มลึก รวมถึงวิชาการต่อสู้อื่น ๆ ที่เข้ากับหลักการนี้

สติปัฏฐาน - ข้อปฏิบัติที่มี สติ เป็นประธาน กำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลาย ให้รู้เห็น
เท่าทันสภาวะของมัน ตามความเป็นจริง โดยไม่ถูกครอบงำด้วยอำนาจ
แห่งกิเลส มี ๔ อย่าง คือ

๑. กาย มีสติกำหนด ดูรู้เท่าทันกาย และเรื่องของกาย
(การกระทำทางกาย, อาการเคลื่อนกาย)

๒. เวทนา มีสติกำหนด ดูรู้เท่าทันเวทนา
(สุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์)

๓. จิต มีสติกำหนด ดูรู้เท่าทันจิต หรือสภาพ และอาการของจิต
(ธรรมที่รู้อารมณ์, สภาพที่นึกคิด, ใจ)

๔. ธรรม มีสติกำหนด ดูรู้เท่าทันธรรม
(ความจริง, สิ่งที่ใจคิด, เหตุ, ต้นเหตุ)















“ โยคะ ไทฉิ สติปัฏฐาน ก็คือการทำความรู้สึกตัว กำหนดความรู้สึกตัว

อยู่บนฐานของการเคลื่อนไหว ที่เป็นจริง และต่อเนื่อง เพื่อรู้แจ้ง และกลมกลืน

เป็นการทำลายความไม่รู้ ด้วยความรู้ต่าง ๆ เป็นช่วงเพ่งจำเพาะที่อยู่เหนือ

ความรู้สึกนึกคิด อันเรียกเอา ศักยภาพ แห่งการดำรงชีวิตกลับคืนมา

พลังทั้งหมดของการมีชีวิตอยู่ ไม่ถูกทำลายไปเพราะความคิด วิตก

กังวล หื่นกระหาย ใคร่ในมายาแห่งชีวิต

...ดังนั้น ชีวิตจึงเปิดเผยถึง ธาตุแท้อันไม่ถูกจำกัด อยู่ในกรอบทัศนคติใด ๆ คงมีแต่เพียง

ศักยภาพ และการสร้างสรรค์ ศิลปะศาสตร์ อันบริสุทธิ์

...โยคะ ไทฉิ สติปัฏฐาน นั้นต่างก็เป็นกลวิธีพัฒนาความรู้สึกตัว

ทั่วถึง โดยอาศัย กาย การเคลื่อนไหวอันเนิบช้า และต่อเนื่อง เพื่อก่อเกิด

อำนาจสมาธิ ตามธรรมชาติ ให้เพียงพอที่จะปลุก “โพธิ” ให้ตื่น...

ความสัมพันธ์ของ กาย และ จิต นี้ หาใช่สัจจะไม่ แต่เป็นกลวิธีที่เร้า

ให้ธาตุแท้ของจิต ได้แสดงศักยภาพเดิมแท้

...อันพรั่งพร้อมด้วย ปรีชาญาณ ออกมา ”


โดย ท่านเขมานันทะ
(คัดลอก และดัดแปลงบางส่วน ขอได้รับความขอบคุณ...)





...บทความต่อไปนี้เป็นผลงานของ ท่านเขมานันทะ (อาจารย์โกวิท เอนกชัย) กล่าวถึงสภาวะหนึ่งของ กายานุปัสสนา ซึ่งแสดงออกโดย ยึดเอาการเคลื่อนไหว กาย อันหมายถึง การกำหนด รูป – นาม กำหนด กาย และ จิต เป็นอารมณ์ ซึ่งทำงานไปพร้อมกันในทิศทางเดียวกัน เป็น จิตหนึ่ง ปลุกธาตุรู้ให้ตื่นขึ้น จากอวิชชา ยังสมาธิปัญญาให้เกิด
ผู้เขียนเห็นว่าดีและจะมีประโยชน์ต่อผู้ฝึกศิลปะการเคลื่อนไหว ซึ่งมีอยู่หลายแขนงวิชา อีกทั้งยังสอดคล้องกับหลักการทำสมาธิในการฝึกมวยไชยา จึงขอนำมาเผยแพร่ไว้ ณ ที่นี่



.....................................................................................

27 กรกฎาคม, 2550

บัตรทอง ที่ว่างเปล่า...

นิตยสาร FINANCIAL FREEDOM (คิดต่าง ทางเดียวกัน)
เล่ม 4 / มกราคม 2550



Charlie and The Chocolate Factory ผลงานของผู้กำกับแหวกตลาด ทิม เบอร์ตัน สร้างจากปลายปากกาของนักเขียนวรรณการเยาวชนผู้เลื่องชื่อ โรอัลด์ ดาห์ล เรื่องราวการแสวงหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปจากวัยเด็ก ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์สีสรรจัดจ้าน ฉากและตัวละครสุดโต่งเกินจริง เสียดสีลึกลงสู่รากความคิดพ่อแม่หลายคนในสังคมปัจจุบัน แต่ก็ยังคงสารัตถะของเรื่องเอาไว้ด้วย ความหมายของชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ซาบซึ้ง กินใจ และอิ่มสุข

...บัตรทองนำโชค ๕ ใบ ถูกซุกซ่อนไว้ภายในห่อแท่งช็อกโกแลตหลากรส ที่ออกมาจากโรงงานของ วิลลี่ วองก้า ชายหนุ่มสติเฟื่องผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งเขาจะผลิตแต่ขนมหวานรสเลิศ ด้วยกลวิธีพิศดารพร้อมทั้งเหล่าคนงานตัวเล็กที่น่าอัศจรรย์ แต่ตัว วิลลี่ เองกลับมีอดีตที่ ขมขื่นซุกซ่อนอยู่หลังเรียวฟันงามสะอาด ที่จะปรากฏพร้อมกับใบหน้าซีดขาวและผมทรงประหลาดภายใต้หมวกทรงสูงเสมอ เป็นอดีตที่เขาไม่เคยจดจำ หรือแกล้งหลงลืมมันไป นานมาแล้ว

...เบื้องหลังบัตรบอกชัดว่า ในเด็ก ๕ คนที่ได้เข้าเยี่ยมโรงงานพร้อมผู้ปกครอง จะมีเด็กเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่สามารถผ่านการทดสอบจะได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดได้ จุดเริ่มต้นถึงจุดหมายปลายทางนั้นนำมาซึ่ง บททดสอบ การสั่งสอน เพื่อเลือกสรรคัดกรองเด็กดีที่คู่ควรกับรางวัลแห่งชีวิต ทั้งยังเป็นบทพิสูจน์ความรักที่มีต่อครอบครัว และที่สุดแล้วมันก็ถูกใช้ค้นหาตัวตนของ วิลลี่ วองก้า เองอีกด้วย


...ด้านนอกโรงงานฯ เล่าถึงครอบครัว บั๊คเก็ต และหนูน้อยชาร์ลี ผู้เฝ้ามองโรงงานช็อกโกแลตด้วยความสงสัยว่าข้างในนั้นมีอะไร ? ด้วยเงินที่มีเพียงน้อยนิดจากแรงงานของพ่อ ชาร์ลี มีโอกาสที่จะได้กินช็อกโกแลตเพียงปีละหนึ่งแท่งเท่านั้น แต่ในปีนั้นนับว่าเป็นปีพิเศษสุดในชีวิตของเขา หนูน้อยมีโอกาสได้เสี่ยงโชคกับข่าวลือเรื่องบัตรทองถึง ๒ ครั้ง... จนกระทั้งสุดท้ายของสุดท้ายโชคจึงเลือกที่จะเข้าข้างเด็กที่แสนจนคนดีอย่าง ชาร์ลี บั๊คเก็ต...เขาได้เป็นเจ้าของบัตรทองใบหนึ่ง

...แต่บทพิสูจน์ชีวิตจริงเพิ่งจะเริ่ม ในโชคดียังมีโชคดีกว่าที่ต้องเลือก เมื่อมีผู้เสนอให้เงินตราจำนวนหนึ่งซึ่งมากกว่าราคาช็อกโกแลตหลายเท่า เพื่อแลกกับบัตรทองใบนั้น ตั๋วที่จะใช้ผ่านประตูโรงงานอัศจรรย์ และราคาของมันก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะค่าความรักที่เหล่าพ่อแม่มีต่อลูกอีกเช่นกัน



...เมื่อความจริงอันขมขื่น กับความใฝ่ฝันแสนงาม วางคู่อยู่ตรงหน้า มีความเจ็บปวดเป็นของแถมอยู่เสมอที่จะต้องเลือก... ระหว่างความต้องการปัจจัยพื้นฐานของชีวิต กับโอกาสที่เฝ้าฝัน หนูน้อยชาร์ลี คิดย้ำมาตลอดทางที่วิ่งกลับบ้าน และเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อ,แม่,ปู่,ย่า,ตา,ยาย ท่ามการรอยยิ้มแห่งความปิติสมหวัง ชาร์ลี กลับยืนยันทางออกในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง เป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ของเด็กตัวเล็ก ๆ ที่มีหัวใจที่ใหญ่ยิ่ง

ชาร์ลี “ ไม่... ผมจะไม่ไป... 
ผู้หญิงคนหนึ่งจะจ่ายผม ๕๐๐ เหรียญ
เพื่อแลกกับตั๋ว พนันได้ว่า...ต้องมีคนที่ให้มากกว่านี้… ”


...ทุกคนถึงกับอึ้งกับการตัดสินใจของหนูน้อย ทั้ง ๆ ที่นี่คือความหวังเดียวของ ชาร์ลี และก็เป็นความสุขแสนพิเศษของคนทั้งครอบครัวบั๊คเก็ต ท่ามกลางความเงียบ... แล้วคุณตาคนที่พูดจาไม่เข้าหูใครที่สุดในเรื่อง ก็พูดทำลายความเงียบนั้นขึ้นว่า...

คุณตา “ หนุ่มน้อย มานี่ซิ...” ชายชราผู้ไม่เคยลงจากเตียงเก่าคร่ำ เขาจับที่ไหล่ทั้งสองแล้วจ้องตามองหลานรักอย่างจริงจัง อ่อนโยน พร้อมกับพูดประโยคเด็ดของเรื่องว่า...

คุณตา “ มีเงินอยู่มากมาย ข้างนอกนั่น... พวกเขาพิมพ์เพิ่มขึ้นทุกวัน...
แต่ว่าตั๋วนี่... ในโลกนี้มีอยู่เพียง ๕ ใบเท่านั้น และจะไม่มีวันมีมากไปกว่านี้
มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะยอมแลกมันกับของธรรมดาอย่าง เงิน...
หลานเป็น คนโง่ หรือเปล่า ? ”


ชาร์ลี “ เปล่าครับ ” ในแววตาหนูน้อย เหมือนจะขอบคุณคำพูดของคุณตา

...แล้วชาร์ลีและคุณปู่โจ ก็ได้มีโอกาสท่องไปในโรงงานช็อกโกแลตที่แสนมหัศจรรย์ ร่วมกับเพื่อนแปลกหน้าและผู้ปกครองของพวกเขา เป็นการเดินทางสุดพิเศษท่ามกลางสิ่งเร้า ทางเลือก และการตัดสิน เนื้อใหญ่ใจความของหนัง ต้องการสื่อถึงสถาบันครอบครัว กับวิธีการเลี้ยงดูบุตรของผู้ใหญ่ กับผลกระทบที่มีต่อเด็กในปกครองของเขา ที่ผู้กำกับภาพยนตร์ทำออกมาได้อย่างแสบสันต์ มีจินตนาการ ซึ่งอาจไม่ตรงใจของผู้ใหญ่นัก สำหรับลูก ๆ ของผม พวกเขาสนุกสนานไปกับเรื่องราว พวกเขาชอบเพลงที่ชนเผ่าอูมปา-ลุมป้า ร้องสอนเด็ก ๆ ในแต่ละบทเรียนที่ผ่านทาง ผมเห็นรอยยิ้มเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข เด็ก ๆ ร้องเพลงประกอบท่าเต้นตามอย่างคนตัวเล็ก ที่ดูแล้วน่ารักแบบ อูมปา-ลุมป้า (ทั้งที่ฟังแล้วจี้เข้าไปถึงใจดำผู้ใหญ่อย่างผม) ผมจะใช้โอกาสนี้พูดคุยเรื่องการประพฤติตัวเป็นเด็กดีและการใช่จ่ายอย่างจำกัดผ่านตัวละคร บอกสอนลูก ๆ ไปในตัว




...เด็กดีคนสุดท้ายที่จะได้รับรางวัลก็คงต้องเป็น ชาร์ลี ที่อ่อนน้อมถ่อมตัวและเข้าถึงธรรมชาติของขนมหวาน วิลลี่ วองก้า ผู้เปลี่ยวเหงา เสนอรางวัลที่หนูน้อยไม่อาจปฏิเสธ พร้อมกับข้อเสนอที่ไม่อาจรับได้ คือการจากครอบครัว ซี่งนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ฉุดรั้ง ชาร์ลี เอาไว้



ชาร์ลี “ ถ้าผมไปอยู่กับคุณที่โรงงานแล้ว ผมจะไม่ได้เจอกับครอบครัวผมอีกใช่ไหม ?

วิลลี่ " ใช่...ถือว่าเป็นโบนัสก็แล้วกัน! "

ชาร์ลี " งั้น...ผมก็ไม่ไป ผมไม่ยอมแลกครอบครัวผมกับอะไรทั้งนั้น... 
แม้แต่กับ ช็อกโกแลต ทั้งโลกก็ตาม ”



...แล้วบัตรทองที่ได้กลับกลายเป็นความว่างเปล่าอีกครั้งสำหรับชาร์ลี หากเขารู้ว่าที่สุดแล้วเป็นเช่นนี้ เขาคงยินดีเลือกเอาเงิน ๕๐๐ เหรียญ หรืออาจจะมากกว่านั้นเพื่อปะทังชีวิตคนทั้งครอบครัว ยังดีเสียกว่าต้องพลัดพรากจากพวกเขาไปตลอดกาล การใช้ชีวิตก็คงไม่ต่างจากการได้ลิ้มลองรสชาดของช็อกโกแลตอยู่ทุกวัน ในหวานนั้นซ่อนขม ในขมนั้นอมหวาน ในสุขนั้นเคลือบทุกข์ ในทุกข์นั้นเจือสุข คละเคล้าปนเปกันอยู่อย่างนี้เสมอ ใครเลยจะล่วงพ้นความจริงนี้ได้...


...ตอนจบของเรื่องคงไม่ต้องเล่า เพราะจุดมุ่งหมายของผมเพียงต้องการให้คุณได้รับรู้ว่า... ตั๋วทอง บัตรผ่านประตูที่นำมาสู่รางวัลแห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่ สำหรับ ชาร์ลี แล้วมันกลับว่างเปล่าไร้คุณค่า เมื่อเทียบเคียงกับความหมายของการได้อยู่ร่วมกันในครอบครัวเล็ก ๆ ที่ยากจน แต่ก็อบอุ่นและเป็นสุข จะมีอะไรมีค่าไปกว่าการได้มีความสุขแบบธรรมดา ๆ ที่ถักร้อยขึ้นจากเงื่อนไขที่แสนจะธรรมดา นั่นก็คือ “ ความรัก ” สภาวะอันทรงพลานุภาพยิ่งใหญ่ น่าอัศจรรย์ใจ ยิ่งกว่าสิ่งใดใดในโลก.






แหลม ศักย์ภูมิ
๒๓ สิงหาคม ๒๕๔๙



....................................................................................