sakkapoom.blogspot.com

.......................................................
ผ่านทาง... สร้างประสบการณ์ ให้ชีวิต
ผ่านชีวิต... สร้างจิตสำนึก ต่อสังคม
ผ่านสังคม... มอบสิ่งดีงาม เอาไว้ให้
ผ่านไป... ชีวิตวางทางไว้เบื้องหลัง จะมีสักกี่ครั้งที่จะได้หันกลับไปมอง.


31 กรกฎาคม, 2550

เม็ดกรวด...ในสายน้ำ

ชุด เพียงเป็น เห็นพอ


เม็ดกรวด...ในสายน้ำ




" มิใช่การกระหน่ำ...ด้วยแรงฆ้อน
หากแต่เป็น การเริงเล่นเต้นร่าของ กระแสน้ำ...
ที่กลึงให้ เม็ดกรวด มีสัณฐานกลมเกลี้ยง...เช่นนี้ ”

รพินทรนาถ ฐากูร

ผู้เป็นทั้ง ครู, กวี, คีตกร, จิตกร และ นักสังคมสงเคราะห์
(ท่านเป็นชาวอินเดีย แลเป็นชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล)

...เมื่อคุณได้อ่านบทกวีสั้น ๆ บทนี้จบลงแล้ว ผมอยากให้คุณลองหลับตา นึกถึงอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับบทกวีของท่านรพินทรนาถ อะไรก็ได้ที่ผุดขึ้นมาในความรู้สึก ภาพ หรืออารมณ์ ประกายความคิดแรก เก็บสิ่งนั้นเอาไว้ในใจของคุณ ก่อนที่คุณจะได้มองบทกวีนี้จากมุมของผมต่อไป...
หากอ่านแล้ว อาจไม่ตรงใจ หรือไปคนละแนวทาง ก็คงไม่ใช่ปัญหาที่ต้องมาถก เพราะนั่นเป็นเพียง ผล อันสุกปลั่งจากการบ่มเพาะ จากวัน วัย ประสบการณ์ ความรู้ ความคิด การตัดสินใจ มุมมองที่เหมือนหรือต่างกัน ทั้งหมดเกิดจากจิตวิเคราะห์ ตีความ ของปัจเจกชนคนสามัญคนหนึ่ง ไม่มีใครถูกหรือผิดที่สุด ไม่มีกฏหรือบทบัญญัติที่ตายตัว สิ่งที่คิดขึ้นขอให้วนเวียนอยู่ภายในจิตใจ...
ภาพที่เสพ อารมณ์ที่ดื่มได้ เป็นอิสระภาพทางความคิดของคุณเองทั้งสิ้น...
.................................................................



เมื่อแรกที่ผมได้อ่าน กวีบทนี้ เวลานั้นผมเพิ่งอายุ ๑๖ ปี จิตนาการพาคิดฝันไปถึง...
ธารน้ำใสเย็นในเขตป่าเขา ต้นทางน้ำจากภูสูงทอดตัวลงสู่แอ่งหิน กัดเซาะจนเกิดทางน้ำสายหนึ่ง ไหลเรื่อย ล่องลงสู่หุบห้วยเบื้องล่าง นำพากรวดหินผิวขรุขระ ซัดหนุนมันมาพร้อมกับการเริงร่าของกระแสน้ำ การเคลื่อนที่ของเม็ดกรวด กระทบกระแทกกับหินน้อยใหญ่ในแก่งตลอดสายทาง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มันถูกลูบคมลบเหลี่ยม หินเหล่านั้นกลิ้งตัวมาตามแรงส่งของพลังน้ำ แล้วจึงวางตัวสงบนิ่ง ณ ที่ใดที่หนึ่งในธารสายชื่น ผ่านวันผ่านคืน ผ่านการอาบไหล ไล้ชุ่มเย็น นุ่มนวลสม่ำเสมอ การเดินทางของเม็ดกรวดเม็ดหนึ่ง จบลงท่ามกลางธรรมชาติในป่าเขา ผิวที่เคยขรุขระ บัดนี้สายน้ำผู้อ่อนโยนได้ปลอบประโลมจนกลมมนขาวนวล เหมือนหินก้อนอื่น ๆ ที่ผ่านระยะทางมาก่อนมัน นานแล้ว...

ภาพความงามในธรรมชาตินั้นติดอยู่ในใจ ซึมซับอยู่นานนับสิบปี ผมดื่มด่ำอยู่กับบทกวีที่รจนาผ่านปลายปากกาของท่านรพินทรนาถ อีกหลายเล่ม ครั้นเมื่อเข้าสู่วัยทำงาน ประสบการณ์ต่าง ๆ จากการเป็นผู้ถูกจ้าง และผู้จ้าง สถานภาพทั้งนายและบ่าว ทำให้ผมย้อนกลับไปมองภาพหินกลิ้งนั้นอีกครั้ง ด้วยสายตาใหม่ ความรู้สึกใหม่ ไม่มีความงามสงบในธรรมชาติ ไม่มีขุนเขาลำนำไพร สายน้ำ กรวดหิน เปลี่ยนรูป แปลงสถาพ ปรับมุมมองจากสายตาชายหนุ่มวัยทำงาน

เสี้ยวหนึ่ง... เม็ดกรวดอย่างผมในฐานะ ผู้ถูกจ้าง... ผู้จ้างบางคนเป็นสายน้ำ คอยบอกและสอนในสิ่งที่ผมต้องเรียนรู้ ทั้งเรื่องในสายงาน, การดำเนินชีวิต สายน้ำแห่งความการุณนั้น ปรับแต่งด้านคม ขรุขระของผมอย่างช้า ๆ ให้ความกระจ่างความเมตตาต่อผู้อ่อนประสบการณ์ ผมยอมรับเขาในฐานะ “ ครู ” ด้วยความเต็มใจทั้งภูมิใจ จนเมื่อผมกลิ้งมาจนสุดแรงส่งของกระแสน้ำ สายนั้น...




บางจังหวะของชีวิต ผมถูกกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยแรงฆ้อน จากคนที่เรียกตัวเองว่า นาย แต่...หินอย่างผมก็ไม่ได้รูป ถูกกัดกร่อนจากความคับแคบ เอาเปรียบเหยียดหยาม วันแล้ววันเล่า ซ้ำร้ายรอยขรุขระนั้นกลับบาดคมลึกลงไปในมือผู้ถือ สุดท้ายแล้วหินนั้นก็ต้องแตกละเอียดลงไปพร้อมกับการออกงาน...
แล้วเม็ดกรวดก้อนน้อยก็กลิ้งตัวสู่ธารน้ำสายใหม่ ถึงเวลาต้องไปให้ไกลจากแม่น้ำสายนั้น เพื่อพิสูจน์ตนเอง...

แล้วจากการรับรู้ที่ผ่านมาทำให้ผม ในฐานะผู้เป็นสายน้ำ เริ่มหันไปมองโลกของเม็ดกรวดหินกลิ้งในปกครองของผม ด้วยสายตาของคนที่เคยผ่านทางเส้นนั้นมา ผมใช้ระยะเวลา ใช้ความอดทน ให้โอกาสและให้อภัย บอกเล่าประสบการณ์โดยไม่สั่งสอน ทำให้เห็นจริงก่อนจึงชี้ช่อง ผมพยายามจะเป็นทางน้ำเย็นชุ่ม นำพาเม็ดกรวดในสายธารของผม ค่อย ๆ ลบเหลี่ยมมุมปุ่มคมขรุขระจากหินนั้น วันแล้ววันเล่าอย่างช้า ๆ อาจจะช้าเกินไปกับใครบางคน แต่...สำหรับผม ผมรู้ว่ามันไม่เคยสาย ที่จะเปลี่ยนใครให้เข้าถึงอะไรบางอย่าง ด้วยหัวใจของตัวเขาเอง...

ผ่านปีที่ ๑๖ มาเกือบครบสามรอบแล้ว เมื่อย้อนมองกลับไป ถึงวัยเด็ก ความงดงามในบทกวียังมีอยู่ ผมยังซึมซับภาพ ฟ้าสีครามอมส้ม ขุนเขาเย็นชุ่มฉ่ำฝน ผมยังเห็น เม็ดกรวดน้อย ๆ เริงร่าในสายธารน้ำใส ผมรับความสุขนั้นได้ในทุกบาทบรรทัด และทั้งบทเรียนจากวัยหนุ่มฉกรรจ์ แรงฆ้อนที่กระหน่ำโบยตี ความหวังดีที่ทุกคนมีให้ ความรู้ความดีที่ ครู พร่ำบอก ตลอดทางผ่านของเม็ดกรวดน้อยในหัวใจ บัดนี้กลมเกลี้ยงใสกว่าแต่ก่อนมาก... มันอาจวัดค่าไม่ได้ว่าเท่าใด แต่ภายในจิตใจของผมรู้อยู่เพียงคนเดียวเงียบ ๆ ว่า มันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากแล้ว อาจไม่มากกว่าที่ใครจะคาดหวัง แต่ก็ไม่น้อยไปกว่าที่ใจได้รับรู้



สำหรับวันนี้... ไม่มีใครอื่น นอกจากตัวเอง มีเราเพียงคนเดียวที่จะต้องได้รับการขัดเกลาเป็นหินหนักหยาบในสายธารแห่งพุทธะพจน์อันสงบ กระแสธรรมชุ่มเย็นนุ่มนวลช่วยกัดกร่อนบางส่วนของความทะยานอยากได้ใคร่มีที่เกินเลยออกไป ท่ามกลางสังคมเมือง - ป่าอารยะธรรม ศีลบัญญัติเปรียบเสมือนหินน้อยใหญ่ในแก่งเกาะ คอยรับแรงกระแทก กระทบลบเหลี่ยมคมหินกลิ้ง กระเทาะกิเลสหยาบ, ละเอียดบางตัวให้หลุดร่วงออกไป ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เม็ดกรวดในสายน้ำอย่างผม ยังไม่กลมเกลี้ยงได้ที่ อย่างที่ใจนึกหวัง วันแล้ววันเล่า ผมหวังว่า คงจะยังมีเวลาในชีวิตเหลือพอ ที่จะได้
ตั้งสติ กลิ้งต่อไป...

จะอีกนานเท่าไร ก็ไม่รู้ แต่สำหรับหัวใจแล้ว ไม่เคยท้อ...



ศักย์ภูมิ
๖-๓-๕๐





.........................................................