sakkapoom.blogspot.com

.......................................................
ผ่านทาง... สร้างประสบการณ์ ให้ชีวิต
ผ่านชีวิต... สร้างจิตสำนึก ต่อสังคม
ผ่านสังคม... มอบสิ่งดีงาม เอาไว้ให้
ผ่านไป... ชีวิตวางทางไว้เบื้องหลัง จะมีสักกี่ครั้งที่จะได้หันกลับไปมอง.


31 กรกฎาคม, 2550

โอบกอด...

นิตยสาร FINANCIAL FREEDOM 
(คิดต่าง ทางเดียวกัน)
ฉบับที่ ๖ มีนาคม 2007




        เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อน...

        บินมาเกาะคอน
        แล้วด่วนจากไป...
       ดึกแล้ว เดือนลับ
       แม่...ยังไม่หลับตาได้
       คิดถึงแต่เจ้าดวงใจ
       อยู่หนใดหนอ...
       เจ้านกขมิ้น...เอย






บทกวีชิ้นเล็ก ๆ นี้ถูกแต่งขึ้นเพื่อทดแทนความรู้สึกสะเทือนใจ ในช่วงเวลาหนึ่ง ครั้งหนึ่งของชีวิต... ถ้อยคำสั้น ๆ เหล่านี้เป็นเสมือนตัวแทนความรัก ห่วงหาอาทรของพ่อแม่ที่มีต่อทารกน้อย ลูกซึ่งพรากจากพวกเขาไป...

ต้นเดือนธันวาคม ปี ๒๕๓๙ ผมพาภรรยาไปพบสูตินารีแพทย์ที่ฝากครรภ์ไว้ ลูกชายคนแรกของพวกเรา ด้วยวัยในครรภ์เจ็ดเดือนแล้ว เจ้าตัวเล็กจึงดิ้นเก่งมากในท้องของแม่ บางครั้งจะใช้เท้าน้อย ๆ ถีบไปมาจนผู้เป็นแม่เสียวเจ็บสันหลัง พวกเราไปพบอาจารย์หมอตามกำหนดนัด ทำอัลทราซาวด์ เจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของสมอง ทำตามที่อาจารย์หมอบอกทุกอย่าง ก็อย่างที่คนเป็นพ่อเป็นแม่พึงจะใส่ใจกับสุขภาพของลูกน้อยได้...

“เด็กสมบูรณ์แข็งแรงดีมากครับ”

อาจารย์หมอยืนยันหนักแน่นภายหลังจากที่ได้ตรวจสอบตามขั้นตอนอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว และกำหนดวันนัดในครั้งถัดไป... กิจการของผม เป็นร้านขายของชำขนาดกลางที่เริ่มจะก่อร่างสร้างตัว มีพนักงานอยู่ ๔ คน คอยจัดเรียงสินค้าประจำหน้าร้าน โดยปกติงานจะยุ่งมากในช่วงก่อนเงินเดือนออก เรื่อยไปอีกสักอาทิตย์และยิ่งใกล้สิ้นปีอย่างนี้ การส่งสินค้าเข้าร้าน การตรวจเช็ค การจัดเก็บจัดเรียง จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างยิ่งเพื่อให้ทันกับความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาเลือกซื้อหาสินค้า โดยเฉพาะเขตที่มีการแข่งขันทางการค้าสูงอย่างที่นี้...

ก่อนสิ้นปีไม่กี่วัน พนักงานคนหนึ่งในร้าน มีเหตุให้ต้องขอลากลับบ้านด้วยกิจธุระเร่งด่วน ซึ่งส่งผลให้ผมต้องลงไปขลุกอยู่กับงานจัดเรียงมากขึ้น ภาระบางส่วนจึงต้องให้ภรรยาเป็นคนช่วยดูแลแทนและวันปีใหม่ก็ผ่านพ้นไปพร้อมกับความเหนื่อยยากของพวกเรา แต่ก็คุ้มค่ากับแรงที่ลงไปมาก

เมื่อผ่านพ้นต้นปีไปแล้ว พนักงานในร้านก็กลับไปเยี่ยมบ้านด้วย หลังจากที่ผมหยุดกิจการช่วงปีใหม่ได้สองวัน ผมก็เปิดกิจการซึ่งก็เป็นไปตามปกติ แต่...ที่ผิดคาดคือในปีนี้โรงงานของชาวไต้หวันหยุดงานเพียงสามวัน โดยยกยอดไปหยุดวันตรุษจีนซี่งในปีนี้มาจะมาถึงในเร็วกว่าทุกปี ในขณะที่โรงงานทั่วไปจะหยุดกันตั้งแต่ตรุษฝรั่ง ปีใหม่ เรื่อยไปเป็นเวลา ๑๕ วัน

เราสองคนทำงานอย่างไม่รู้พอ กับลูกค้าที่อยู่ตรงหน้า สินค้าหน้าร้านหมดลงอย่างรวดเร็ว ผมต้องใช้เวลาช่วงกลางคืนหลังปิดร้านขนสินค้าลงมาจากชั้น ๒ ของตึกเพื่อจัดเรียงให้เต็มหน้าร้านจนถึงสว่างทุกวัน ด้วยความอ่อนเพลียทำให้กับสินค้าบางอย่างผมก็ไม่ได้ใส่ใจจะไปรื้อค้นเพราะมีน้ำหนักมาก อย่างพวกซีอิ้ว, น้ำปลา,น้ำตาลทราย ไว้ตื่นตอนเที่ยง ๆ แล้วค่อยมาดูกันอีกที ภรรยาของผมเธอจะลงมาเปิดร้านในตอนเช้าและขายหน้าร้านจนกว่าผมจะตื่น เป็นอย่างนี้อยู่สักอาทิตย์กว่าที่พนักงานจะกลับเข้าทำงานตามปกติและก็จะยุ่งไปอีกหลายวันเพราะพนักงานจากโรงงานต่าง ๆ ได้ทยอยกับกลับมาเข้างานเช่นกัน


คืนหนึ่งภรรยาผมก็บ่นออกมาว่า “วันนี้ลูกไม่ดิ้นเลยทั้งวัน” ผมฟังแล้วก็บอกกับเธอว่า “เธอคงยุ่งทั้งวันคงไม่ได้สังเกตเอง หรือลูกอาจจะหลับไปแล้วก็ได้ ไว้พรุ่งนี้ลองดูใหม่นะ”แล้วผมก็รีบหลับไปเพื่อที่จะได้ตื่นขึ้นมาพบกับงานหนักในวันรุ่งขึ้น... ปกติผมจะเอื้อมมือไปแตะที่ท้องพอง ๆ กลม ๆ ของภรรยาผม ลูบไล้ด้วยความถนุถนอมบางครั้งก็มักจะเขย่าท้องนั้นเบา ๆ เจ้าหนูในนั้นก็จะขยับตัวตอบรับ บ่อยครั้งที่ผมจะสังเกตเห็นรอยนูน ๆ เล็ก ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนช้า ๆ ผ่านฝ่ามือผม ทำให้พวกเรารู้สึกถึงสัมผัสของลูกได้

แต่นี้วันที่ ๒ แล้วที่เจ้าตัวเล็กยังนอนนิ่งอยู่ ทั้งพวกเราก็มีงานมากจนลืมเรื่องนี้ไปทั้งวัน คนที่ร้อนใจที่สุดก็คงเป็นแม่ของเด็ก เธอรบเร้าว่าคืนนี้ก็ต้องไปให้หมอตรวจให้ได้ เธอรู้สึกไม่สบายใจเลย หลังปิดร้านแล้วผมขับรถพาเธอไปโรงพยาบาลในคืนนั้น พยาบาลเวรได้พยายามติดต่ออาจารย์หมอ ระหว่างนั้นภรรยาผมถูกจัดให้รอคุณหมออีกท่านในห้องตรวจของตึกชั้น ๓ ที่มีบรรยากาศ หดหู่ ทางเดินที่ทอดตัวออกไปสู่ห้องมากมายมีแสงสลัวและเงียบสงัด อากาศเย็นยะเยือก ผมได้แต่กุมมือเย็น ๆ ของภรรยาไว้ ปากได้แต่บอก “ไม่เป็นไร ๆ” ทั้งที่ใจผมรู้ดีว่าผมกลัวที่จะได้รู้ในสิ่งที่จะเกิดขึ้น...

ผลจากการอัลทราซาวด์ แล้วคลื่นเสียงความถี่สูงก็สะท้อนกลับ มันแสดงภาพทารกน้อยในครรภ์ที่นิ่งสนิท

“เด็กเสียชีวิตไปได้ 2 วันแล้ว ผมไม่ยืนยันสาเหตุ ต้องรออาจารย์หมอตรวจสอบอีกครั้ง”
คุณหมอที่มาดูแลแทนบอกพวกเราด้วยสีหน้าธรรมดา

“แล้วจะทำยังไงละครับ” ผมถาม

“ก็คงไม่ต้องทำอะไรครับ เด็กจะคลอดออกมาเองในสักอาทิตย์”

เมื่อได้ยินคำตอบ ผมงุนงงฟังแล้วรู้สึกว่านั่นยังไม่ใช่คำตอบ ภรรยาของผมเธอนอนน้ำตาไหลนิ่ง ๆ ไม่มีแม้เสียงสะอื้นไห้ ผมเข้าใจเธอเพราะผมก็รู้สึก... เป็นความรู้สึกเจ็บลึกลงไปถึงกลางใจพ่อแม่มือใหม่อย่างพวกเรา

เมื่อได้พบอาจารย์หมอ คำตอบที่ได้คือ “เด็กดิ้นเก่งเกินไป สายรกไปพันเข้าที่คอ ทำให้เด็กเสียชีวิต” โถ ลูกพ่ออีกเพียงสองเดือนเท่านั้นก็จะถึงกำหนดคลอดแล้ว ผมนึกย้อนกลับไปพบว่า ระหว่างที่ผมยุ่งอยู่กับงานตลอดบ่ายนั้น ภรรยาผมเธอจะจัดเรียงสินค้าก่อนในส่วนที่ผมไม่ได้ทำ โดยเธอขึ้นลงบันไดวันละหลาย ๆ เที่ยวกับตะกร้าใบหนึ่งเพื่อผ่อนปรนงานจากผม มันเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ พวกเราเลือกที่จะได้บางสิ่ง แต่กลับต้องแลกกับสิ่งที่มีค่าสูงที่สุด ทั้งไม่มีอะไรที่จะมาทดแทนได้ วันนั้นเราเลือกผิด... ผมเสียใจ...

การที่ได้รู้ว่า เจ้าตัวเล็กเสียชีวิตแล้ว เป็นความทุกข์โศกที่ผ่านพ้นได้ยากจริงยิ่ง จนผมไม่ต้องการให้คุณคิด เพราะที่ทุกข์นั้น มันมากเกินพอแล้ว แต่...นั่นยังไม่ทุกข์ทรมานใจเท่ากับการที่ต้องอยู่กับ ศพลูก ในสภาพที่ยังอยู่ในท้องแม่อย่างนั้นต่อไปอีก... ช่างเป็นเจ็ดวันสุดท้ายที่ยาวนานและยากจะลืมเลือน เป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยายจริง ๆ .....

อีกหลายวัน กว่าที่กำหนดการคลอดจะมาถึง... ยามดึกสงัด... ภรรยาของผมเธอยังไม่หลับ ได้แต่นอนน้ำตาเอ่อลงเปื้อนหมอน เวลานั้นผมทำได้เพียงส่งผ่านความรักไปที่เธอ โดยไม่มีคำปลอบโยนใด ๆ ผมกอดเธอ วางมือแนบท้องเย็นชืดนั้นเหมือนที่เคยวางเมื่อลูกยัง... ลูบไล้เพียงแผ่วเบา... เศร้าและนิ่งเงียบ...ไร้สัญญาณใด ๆ ตอบกลับ ร่างเล็ก ๆ ที่ยังนอนอยู่ในท้องนั้น บัดนี้ไม่หายใจ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเคลื่อนไหว เหมือนที่เคยไหว... ยามนี้ลูกของเรา เจ้าหลับไหลไปตลอดกาล...

ผมกระซิบแผ่วเบา......

“ พ่อและแม่จะรักเจ้า..

เราสองคนจะโอบกอดหนูไปตลอดคืน... ”

“ หลับฝันดีนะลูกรัก... ”

“ ฝันดีจ๊ะ... ”


.........................

แหลม ศักย์ภูมิ
๔ กันยายน ๒๕๔๙